ที่มาของเฟซบุ๊ค

หลายๆคนในคณะใช้ Facebook กัน ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อระหว่างเพื่อนฝูง เล่นเกมส์ หรืออะไรอีกหลายอย่าง แต่มี ใครรู้บ้างว่า Facebook เกิดมาได้ยังไง เรื่องราวของ Facebook เริ่มจากนักศึกษา เบียร์ สัตว์ต่างๆ การ Hack และการโดนจับ ซึ่งดูจากการเริ่มต้นของ Facebook แล้วก็ Amazing มากๆว่า มาไกลถึงขนาดนี้ (ผู้ใช้งาน 400 ล้านคน) ในเวลาแค่ 6 ปี ความคิดที่แตกต่างไม่เหมือนกันอาจเป็นชนวนให้เกิดความแตกแยกในสังคมหลายๆ ประเทศ แต่ถ้าลองคิดต่างอย่างสร้างสรรค์ล่ะก็ นอกจากจะไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันแล้ว เผลอๆอาจทำเงินทำทองให้ อย่างมหาศาล เปลี่ยนสถานะจากคนตกงานไร้อนาคตขึ้นแท่นเป็นสุดยอดมหาเศรษฐีอันดับท็อปๆของ โลกเพียงชั่วข้ามคืน จะว่ากันไปแล้ว คนกล้าคิดต่างอย่างสร้างสรรค์ก็มีอยู่ไม่น้อยในสังคมโลก แต่รายที่คิดต่างมีไอเดียน่าทึ่ง ทั้งๆที่อายุยังน้อย คงไม่มีใครโด่งดังเกินหน้า มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก แฮ็กเกอร์หนุ่มจากฮาร์วาร์ด ผู้ก่อตั้ง Facebook เครือข่ายสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่สุดของโลก จนโด่งดังเปรี้ยงปร้างไปทั่ว และได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารไทม์ให้เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก ประจำปี 2008 ขณะอายุเพียง 23 ปี โดยปัจจุบันมีผู้ใช้เฟซบุ๊กมากกว่า 400 ล้านคน นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อ 6 ปีก่อน วันที่ 4 ก.พ. ปี 2004 ย้อนกลับไปในวัยเด็ก "มาร์ค" มีชีวิตแสนจะธรรมดา เขาเกิดในครอบครัวอเมริกันเชื้อสายยิว เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ปี 1984 โตมาในย่าน ดอบส์ เฟอร์รี รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มีพ่อเป็นหมอฟันและนักจิตวิทยา ชีวิตวัยเด็กของเขาค่อนข้างจะสุขสบาย ไม่เคยผ่านความลำบากยากจน เขามีพี่น้อง 4 คน ทว่า เป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน เป็นเด็กเรียนเก่งออกแนวเนิร์ดๆ ชอบขลุกอยู่แต่ในห้อง

"มาร์ค" เริ่มเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นตั้งแต่เรียนชั้นประถม พอขึ้นชั้นมัธยม ก็ร่วมกับเพื่อน เขียนปลั๊กอินสำหรับโปรแกรม Winamp ในเครื่องเล่น MP3 เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างรายการเพลงโปรดส่วนตัวโดยอัตโนมัติ

และ หลังจากเขานำไอเดียสุดจ๊าบโพสต์บนอินเตอร์เน็ตให้ดาวน์โหลดฟรี ก็ ได้รับโทรศัพท์จากค่ายบริษัทยักษ์ใหญ่ AOL และไมโครซอฟท์ ชักชวนให้ไปทำงานด้วย กระนั้น เขาปฏิเสธความหวังดี เพราะรู้ทันว่าจะถูกฮุบไอเดียไปฟรีๆ และตัดสินใจเข้าเรียนต่อด้านคอมพิวเตอร์ ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เพื่อรอโอกาสทองในการสร้างผลงานมาสเตอร์พีซ

ไอเดียสำคัญที่ จุดประกายให้นักศึกษาวิชาคอมพิวเตอร์ วัย 20 ปีคนนี้ ลุกขึ้นทำเฟซบุ๊กเกิดจากความหมกมุ่นอยู่กับเรื่องคอมพิวเตอร์ และการเขียนโปรแกรม จนค้นพบปัญหาว่ามหาวิทยาลัยระดับโลกอย่างฮาร์วาร์ดไม่มีระบบหนังสือรุ่นทาง ออนไลน์ เขาจึงนำไอเดียไปเสนอเพื่อขอจัดทำ แต่กลับถูกมหาวิทยาลัยปฏิเสธ โดยบอกว่าไม่มีนโยบายให้นักศึกษาเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว

กระนั้น ด้วยความคันไม้คันมือ และอยากเอาชนะ เขาจึงสวมวิญญาณแฮ็กเกอร์เจาะเข้าไปในระบบทะเบียนประวัตินักศึกษาของฮาร์วา ร์ด ดึงรูปนักศึกษาและประวัติส่วนตัวจากฐานข้อมูลมหาวิทยาลัยมาใส่ในเว็บไซต์ Facemash พร้อมกันนี้ยังเชิญชวนเพื่อนๆนักศึกษาเล่นเกม Hot or Not โดยโพสต์รูป นักศึกษาให้เพื่อนๆเข้ามาช่วยกันโหวตว่าใครฮอต หรือไม่ฮอต ผลตอบรับดีเกินคาด เพราะภายในเวลาแค่ 4 ชั่วโมง มีนักศึกษาเข้ามาโหวตถึง 450 คน สร้างสถิติคลิกชม 22,000 ครั้ง แต่แทนที่จะได้รับเสียงชมจากอาจารย์ เขากลับถูกมหาวิทยาลัยลงโทษระงับการใช้อินเตอร์เน็ต

เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาลุยต่อเพื่อสร้าง Facebook โดยเขานั่งเขียนโปรแกรมอยู่ในหอพักมหาวิทยาลัย และได้รับความช่วยเหลือจากรูมเมต "ดัสติน มาสโควิตซ์" ซึ่งภายหลังได้กลายมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊ก และรั้งตำแหน่งวีพีด้านเอนจิเนียริ่ง แรกเริ่มเขาพยายามเชิญชวนเพื่อนๆนักศึกษาส่งรูปและข้อมูลส่วนตัวเข้ามาโพสต์ บนเว็บไซต์ ซึ่งมีคนส่งรูปเข้ามาถึง 500 รูป ต่อมาได้พัฒนาโปรแกรมโดยสร้างเว็บเพจให้

เพื่อนร่วมชั้นสามารถส่งอีเมล์เข้ามาช่วยกันเขียนความคิดเห็น และเพิ่มเติม ประวัติได้อย่างไม่จำกัด ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างดีจากเว็บไซต์ เพื่อสร้างสัมพันธ์ในหมู่นักศึกษาฮาร์วาร์ด จึงขยายความฮิตฮอตไปยังมหาวิทยาลัยอื่นๆกว่า 30 สถาบัน

ชีวิตของเขา ต้องมาถึงทางแยก เมื่อเขากับเพื่อนๆชวนกันเดินทางไปดูลาดเลาที่พาโล อัลโต ซึ่งเป็นซิลิคอน วัลเลย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อหาเงินลงทุนก่อตั้งบริษัท และพัฒนาเว็บไซต์ ตอนนั้น พวกเขายังมีแผนจะกลับมาเรียนต่อในช่วงเปิดเทอม แต่ท้ายสุด เมื่อได้รับไฟเขียวอนุมัติเงินลงทุนถึง 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภาพของ "บิลล์ เกตส์" ผู้สร้างตำนานลาออกจากฮาร์วาร์ด

เพื่อมาสร้าง ไมโครซอฟท์ จึงผุดขึ้นตรงหน้า ทำให้ตัดสินใจทิ้งปริญญา และบอกกับตัวเองว่า ถ้าไมโครซอฟท์เจ๊งเมื่อไหร่...จะกลับไปเรียนฮาร์วาร์ดทันที!!

" เหลือเชื่อยิ่งกว่าเหลือเชื่อ จากเด็กหนุ่มไร้ปริญญา ไม่มีรถขับ ไม่มีงานทำ บ้านก็ต้องเช่าข้าวก็ต้องซื้อมาจนถึงทุกวันนี้ ดอกผลจากความพยายามไม่ลดละ บวกกับความอัจฉริยะเหนือชั้น ทำให้แฮ็กเกอร์หนุ่มจากฮาร์วาร์ด มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวจนรวยระเบิดเถิดเทิง ขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดอันดับหนึ่งของโลก ที่สร้างฐานะด้วยลำแข้งตัวเอง ภายในเวลาแค่ 6 ปี โดยเมื่อกลางปีก่อน เพิ่งขายเศษหุ้นให้ นายทุนรัสเซียไปได้ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และปัจจุบันสร้างสินทรัพย์เข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ!!"

อะไรจะรวยง่ายรวยคล่องขนาดนั้น?! แต่ก็ต้องยอมรับในความเนื้อหอมของหนุ่มน้อยวัย 25 ปีคนนี้ ผู้ก่อตั้ง Facebook ให้เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก สาเหตุที่เฟสบุ๊คเนื้อหอม มีแต่นักลงทุนรุมตอมอยากจะดองด้วย ก็เพราะฐานลูกค้าของเฟสบุ๊คเติบโตอย่างรวดเร็วราวกับติดจรวด จากจำนวนผู้ใช้ในยุคก่อตั้งสตาร์ทไม่ถึงล้านคน ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการทะยานขึ้นเป็น 400 ล้านคนทั่วโลกแล้ว โดย 70% เป็นลูกค้าที่อยู่ นอกประเทศสหรัฐอเมริกา...สำหรับนายทุนใหญ่ๆแล้ว ดีดลูกคิดยังไงจึงคุ้ม ยิ่งกว่าคุ้ม เมื่อได้แลกกับการเข้าถึงฐานลูกค้าของเฟสบุ๊ค

ก็เพราะอย่าง นี้เอง จึงไม่น่าแปลกใจที่รุ่นพี่ฮาร์วาร์ดเช่น "บิลล์ เกตส์" ผู้สร้างตำนานลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อมาก่อตั้งไมโครซอฟท์ จะเป็นนักลงทุนรายแรก

ที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงิน 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แลกกับหุ้นเฟสบุ๊คเพียงน้อยนิดแค่ 1.6% เมื่อปลายปี 2007 ตั้งแต่เฟสบุ๊คให้ บริการมาได้แค่ 3 ปี และมีผู้ใช้บริการเพียง 50 ล้านคน ขณะนั้น รายได้ ของเฟสบุ๊คก็ยังไม่มาก มายเท่าทุกวันนี้ โดยสามารถทำเงินเพียง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีสินทรัพย์รวมไม่ถึง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กระนั้น การตัด สินใจของไมโครซอฟท์ หนุนส่งให้มูลค่าตลาดของเฟสบุ๊คเพิ่มขึ้นเป็น 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในชั่วข้ามคืน ช่วงเวลานั้น มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไมโครซอฟท์คงกินยาผิด ถึงได้ตัดสินใจขี่ช้างจับตั๊กแตนขนาดนั้น แต่นักวิเคราะห์ที่รู้จริงกลับเดาทางถูกว่า เงินแค่ 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเรื่องจิ้บจ้อยมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่ไมโครซอฟท์หมายมั่นปั้นมือ นั่นคือ การแลกกับสินทรัพย์มหาศาลที่มองไม่เห็นในงบดุล จากการเข้าถึงฐานลูกค้าจำนวนหลายสิบหลายร้อยล้านคนของเฟสบุ๊ค โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศ และลูกค้าในวัยหนุ่มสาว ซึ่งไมโครซอฟท์ยังเข้าไม่ถึง

และผลจากความเนื้อหอมครั้งนี้ ทำให้ชื่อของ "มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก" ติดทำเนียบบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกเป็นครั้งแรก จากการจัดอันดับของนิตยสารไทม์ เมื่อปี 2008 ขณะอายุแค่ 23 ปี และยังได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บ ให้เป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่อายุน้อยที่สุดในโลก ที่สร้างฐานะด้วยตัวเอง โดยมีสินทรัพย์ในครอบครอง 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ตลอดระยะ เวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้จะมีค่ายอินเตอร์เน็ตใหญ่ๆหลายราย รวมถึง Google และ Yahoo ตามขายขนมจีบ อยากขอซื้อหุ้นเฟสบุ๊ค เพื่อแบ่งปันความรวยบ้าง แต่ด้วยวิสัยทัศน์กว้างไกลของซีอีโอหนุ่มไฟแรงแห่งเฟสบุ๊ค เขากลับตัดสินใจขายหุ้นนิดหน่อยให้กับกลุ่มนักลงทุนอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ สัญชาติรัสเซีย "ดิจิตอล สะกาย เทคโนโลยี" หรือ DST เพื่อแลกกับการเจาะตลาดเฟสบุ๊คในแถบรัสเซีย และยุโรปตะวันออก ซึ่ง DST เป็นเจ้าธุรกิจและนายทุนใหญ่คุมตลาดอินเตอร์เน็ตทั้งภูมิภาคดังกล่าว

ดุล ประวัติศาสตร์อีกครั้งของเฟสบุ๊ค ตกลงกันสำเร็จเมื่อเดือน พ.ค.ปีที่แล้ว โดยฝ่ายนายทุนหมีขาวใจป้ำยินดีจ่ายเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แลกเปลี่ยนกับหุ้นบุริมสิทธิแค่ 1.96% ของหุ้นเฟสบุ๊ค ซึ่งขณะนั้นมีมูลค่ารวม 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมรับปากว่าจะไม่มีตัวแทนในบอร์ดบริหาร และไม่ก้าวก่ายเรื่องการบริหาร

ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญของเฟสบุ๊คตลอดมา


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ความหมายของภาษาวิบัติ

ลักษณะของภาษาไทยวิบัติ

ผลกระทบของภาษาเฟซบุ๊คที่ทำให้ภาษาไทยวิบัติ